วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แอนดรู คาร์เนกี

แอนดรู คาร์เนกี ผู้สิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว แต่กลับกลายเป็นเศรษฐี

ชีวิตในโลกนี้ย่อมไม่มีอะไรที่แน่นอนนั้น เป็นการถูกต้องแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมผันผวนปรวนแปรอยู่ชั่วนิรันดร์แม้แต่ภาวะของบุคคล ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ย่อมจะเป็นไปตามเหตุการณ์ผันแปรของโลก การล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นสิ่งน่าปริวิตกอะไรกับการที่มันจะเกิดขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว และยังปฏิสนธ์อยู่ในปัจจุบัน เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว และยังปฏิสนธฺอยู่ในปัจจุบัน และจะต้องปฏิสนธ์ต่อไปในอนาคต บุคคลที่ยังวนเวียนอยู่ในกระแสกิเลสยังอยู่ภายใต้อาณัติโลกธรรม 8 ประการและยังอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม และแน่ละกฏแห่งกรรมจะดลให้ชีวิตเปลี่ยนไปตามพลังกรรมที่ตนเองก่อมันขึ้น

โกลด์สมิธกล่าวว่า
"บุคคลที่ล้มลุกคลุกคลาม เป็นเรื่องธรรมดา แต่ล้มแล้วลุกนี่แหละคือคนโดยสมบูรณ์"

ชีวิตของแอนดรู คาร์เนีย (Andrew Carnegie) แล้ว ก็คล้ายกับภาษิตของโกลด์สมิธ ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการล้มลุกคลุกคลาน เผชิญกับความยากจนอย่างแสนสาหัส อดยากหิวโหยแทบจะล้มทั้งยืน แต่เขา ไม่เคนสิ้นหวัง ไม่เคยหมดน้ำมะนะไม่เคยสิ้นพลังทางใจ เขาถืออุดมคติหรือปทานุกรมแห่งชีวิตอยู่ว่า "ไม่มีอะไรใน โลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้ " หรือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไม่มีอยู่ในความรู้สึกของคาร์เนกี เพราะบุคคลผู้นี้ไม่เคยวิตกกับความทุกข์ยากไม่กลัวความลำบาก และไม่หวั่นหวาดต่อความแร้นแค้ คาร์เนกีเป็นคนเข้มแข็ง อดทน และมีความมานะ เขามีความทะเยอทะยานอย่างสูงมีความมานะไม่ละลด เขาเป็นคนต่อสู้กับความทุกข์ยากไม่แผกผิดกับเอดิสัน และก็นี่แหละ เขาจึงสามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งของโลกจนได้

อิเมอร์สันนักปราชญ์โลกกล่าวว่า "โลกนี้เป็นของคนพยายาม"

แอนดรู คาร์เนกี เขาเกิดมาในท่ามกลางแห่งความยากจน บิดาของเขานั้นเล่ามิได้เป็นคนมั่งมีศรีสุขอะไร? เขาเป็นแต่เพียงช่าวทอผ้าคนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น ความเป็นอยู่และฐานะของเขาจึงเต็มไปด้วยความแร้นแค้นมาก บิดาของคาร์เนกีเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมีความมานะและอดทน เขาพยายามประดิษฐ์เครื่องทอผ้าขึ้นใหม่ แต่ความปราถนาอันนี้ต้องเอันตรธานไป เขาต้องทุ่มเทแรงงานและทรัพย์สินลงไปในการนี้อย่างมากมาย แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าวนี้เลย เป็นสาเหตุให้ฐานะแห่งความยากจนค่นแค้นที่มีอยู่แล้ว กลับทวีมีมากขึ้น ความพลาดหวังครั้งนี้ทำให้บิดาของคาร์เนกีเศร้าโศกมาก และแม้แต่ตัวคาร์เนกีเองก็พลอยได้รับความรันทดไปด้วยเป็นอย่างมาก

คาร์เนยี เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ 1835 ณ จังหวัดคันเฟีร์มไลน์ ประเทศสก๊อตแลนด์ หลังจากบิดาของเขาต้องผิดหวังในการประดิษฐ์เครื่องทอผ้าไม่สำเร็จ บิดาของเขาก็พากันอพยพไปตั้งภูมิลำเนาทำมาหาเลี้ยงชีพอยู่ในเมืองอัลเลกเธนี รัฐเพนน์ชิววาเนียประเทศอเมริกา

ในขณะนั้น คาร์เนยีมีอายุได้ 12 ปีแล้ว ความเป็นอยู่แห่งครอบครัวก็มิได้มีขึ้นเลย เขาต้องเผชิญภาวะแห่งความลำเค็ญยิ่งกว่าในสก๊อตแลนด์เสียอีก พฤติการณ์เป็นเช่นนี้ทำให้คาร์เนยีมองดูสภาพของครอบครัวด้วยความเศร้าใจยิ่ง เขาจะทนดูสภาพแห่งครอบครัวเผชิญต่อความยากจนค่นแค้นดังกล่าวนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นทั้ง ๆ ที่มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว เท่าที่เขาสามารถจะหามันมาได้ เขาออกย่ำหางานอย่างสุดความสามารถ แต่มันก็เป็นคราวเคราะห์ดีของเขาที่เขาได้รับค่าจ้างเพียงเดือนละ 5 เหรียญเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็อดทนเพราะงานที่เขาทำมิใช่เป็นงานเบาสำหรับตัวเขาเลย แต่เขาก็มิได้ย่อท้อต่องานที่หนักแสนหนัก เพื่อครอบครัวและบิดาอันสุดแสนเคารพ เขาจึงทนทำงานอยู่ถึง 2 ปี

คาร์เนยี เป็นบุคคลที่ชองการอ่านและการใช้ความคิด เขาสนใจต่อการศึกษาอย่างแรงกล้า เขาชอบสังเกตุสิ่งต่าง ๆ แล้วเก็บเอามาคิด เขาชอบนั่งคิดนั่งฝันและชองสังเกตุปรากฏการณ์แห่งธรรมชาติและก็ข้อนี้แหละที่ทำให้เขาเกิดไอเดียใหม่ ๆ และแปลก ๆ เสมอ แม้อายุเขาจะน้อย แต่เขามีความฉลาดเกินอายุ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขาชองสังเกตุสิ่งต่าง ๆ แล้วนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาขบคิดและพิจารณา ประกอบกับเขาได้รับพรสวรรค์แห่งความยากจน ด้วยประการเช่นนี้แหละทำให้เขากลายเป็นคนเจ้าความคิดและเกิดจุดปรารถนาปณิธานแห่งชีวิตขึ้น




วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เฮนรี่ฟอร์ด

บุรุษผู้ยากจน แต่มีความหวังอันเจิดจ้าในชีวิต

"ความสำเร็จจะมีหรือไม่ ก็ช่างมันเถิด แต่จงทำมันไปเรื่อย ๆ"


นี่เป็นคำกล่าวของมหาเศรษฐี เฮนรี่ฟอร์ด ผู้มีปทานุกรมอุดมการณ์สำหรับชีวิตของเขา จากอุดมการณ์แห่งชีวิตของเฮนรี่ฟอร์ดดังกล่าวนี้แหละ เฮนรี่ฟอร์ด เด็กที่เต็มไปด้วยความยากจน ค่นแค้นที่สุดในชีวิต ก็ได้ประสพชัยชนะแห่งชีวิตอย่างเกริดเกียติ ชีวิตของเฮนรี่ฟอร์ด พอลืมตาดูโลกเท่านั้นสิ่งที่มันต้อนรับเขาอยู่อย่างโหดเหี้ยมนั้นก็คือ ความยากจน บิดามารดาของเล่านั้นเล่า? ก็เป็นชาวนาที่ยากจนในมณฑลรัฐมิชิแกน เฮนรี่ฟอร์ด แม้เขาจะได้รับการศึกษามาบ้าง แต่ก็เป็นการศึกษาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่เฮนรี่ฟอร์ด ก็เป็นเด็กที่มีความกระเหียนกระหายในการศึกษาอย่างแรงกล้า แต่ถึงกระนั้นก็ดี บิดามารดาของเฮนรี่ฟอร์ด ก็ไม่สามารถเสนอสนอง ความต้องการของเขาได้ เพราะความยากจนค่นแค้นของชีวิตที่มีอยู่

สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นมหาเศรษฐีของเขานั้น ก็คือพฤติการณ์ ที่แสดงออกถึงความเป็นอัจฉริยภาพโดยกำเนิด (Bonegenius) ของเขามาแต่เล็ก ๆ อายุเขาเพียง 7 ขวบเท่านั้น เขาก็เริ่มมีความสนใจในวิชาช่าง เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นนายช่าง เขาเกิดความทะเยอทะยานจะเป็นนักประดิษฐ์ ในกระท่อมโกโรโกโสของเขานั้นล้วแล้วแต่มีเครื่องยนต์กลไกแทบทั้งสิ้น บางครั้งจะได้เห็นเฮนรี่ฟอร์ดเอานาฬิกาทั้งเรือนออกมาเปิดออกดู ด้วยความกระหายใคร่จะรู้ว่าภายในนาฬิกาเรื่อนนั้นมันเดินได้อย่างไร? มีเครื่องยนต์กลไกอะไรบ้าง? ตลอดเช้ายันเย็น เฮนรี่ฟอร์ดจะขลุกอยู่กับเครื่องยนต์กลไกเหล่านั้น บางครั้งเขากลับจากโรงเรียน เขาจะหยุดยืนดูรถยนต์ที่แล่นผ่านไปมาบนถนนอยู่ด้วยความสนใจ ในความรู้สึกของเขานั้นเกิดจินตนาการขึ้นว่า "รถยนต์มันวิ่งไปได้อย่างไร? ทำไมมันจึงวิ่งไปได้" เขาอยากเปิดมันดูเหมือนอย่างเปิดนาฬิกา แต่เขาก็ไม่สามารถจะทำตามความปราถนาที่ต้องการได้ เพราะเขาไม่มีเงินจะซื้อรถยนต์มาเปิดดูได้เพราะราคารถยนต์คันหนึ่งมันสูงเหลือเกิน

แน่ละเขาต้องมี "gift" หรือพรสววร์คไปในทางนั้น ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงเกิดความพอใจในทิวทัศน์ธรรมชาติ แต่เขาเกลียดทุ่งไร่ทุ่งนา เขาเกลียดวัวควาย เขาไม่ปราถนาอาชีพชาวนา เขาไม่ต้องการความสงบในชนบท เขาปราถนาคลุกคลีอยู่กับชุมชน เขาต้องการอยู่ท่ามกลางแห่งความเจริญ เพราะสิ่งดังกล่าวนั้นช่วยกระตุ้นจิตใจของเขาให้เกิดความทะเยอทะยานขึ้น

ครั้นเมื่ออายุของเฮนรี่ฟอร์ดได้ 16 ปี เขาได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก มารดาสุดที่รักและเคารพดุจดังดวงชีวิตของเขานั้น ต้องพรัดพรากจากกันอย่างไม่มีวันได้พบกันอีก เฮนรี่ฟอร์ดปล่อยโฮออกมาอย่างน่าสงสาร เขากอดศพมารดาร่ำไห้อย่างเด็ก ๆ ท่านมหาเศรษฐีเฮนรี่ฟอร์ดมักจะกล่าวเสมอ ๆ ว่า "เป็นการร้องไห้ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของข้าพเจ้า"

เมื่อมารดาจากไป เฮนรี่ฟอร์ดเริ่มจินตนาการถึงตัวเอง เขาชิงชังกลิ่นโคลนและสาบควาย เขาเกลียดผืนนาอันมองดูลิบลิ่วสุดลูกหูลูกตา เขารู้สึกท้อใจที่เห็นชาวนากรำแดด กรำฝน อยู่อย่างลำบากยากเย็น เขามองไม่เห็นเลยว่า "การทำนาเหน็ดเหนื่อยสายตัแทบขาดลงไปนั้น มันจะมีทางรำรวยขึ้นมาได้อย่างไร

แทนที่เฮนรี่ฟอร์ดจะดำเนินชีวิตอย่างบรรพบุรุษของเขา เขากลับทิ้งไร่ทิ้งนา แล้วเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อหางานทำ การหางานทำของเขาก็คล้าย ๆ กับรอดกิเฟลเลอร์ บ้างก็บอกเขาว่า "ที่นี่ไม่ต้องการคนงานที่ไม่บรรลุนิติภาวะ" บ้างก็ถามเขาว่า "ลื้อทำอะไรได้บ้างล่ะ" บ้างก็ไม่ถาม ไล่ตะเพิดเอาดื้อ ๆ เขาโดนทั้งการเยาะเย้ยและถากถาง บางครั้งก็ถูกประณามอย่างสาดเสียเทเสีย เปล่า ! เขาไม่แคร์ ไม่เคยท้อถอย ไม่เคยวิตก ไม่เคยนำเอามาคิดให้เสียกำลังใจ เขากลับมีความรู้สึกไปว่า "มันเป็นการขบขันและสนุกสนานดี" เขายึดถือสุภาษิตของอเมริกันบทหนึ่งกล่าวว่า

"ผู้ที่ไม่อดทนต่อการประณาม คือบุคคลที่อ่อนแอ"

บุคคลที่บังคับตัวเองไม่ได้ บุคคลที่ปราศจากความอดทน บุคคลที่ปราศจากความเข้มแข็งและกล้าหาญ เป็นบุคคลที่ไม่สามารถดำเนินกิจการงานใด ๆ ได้ ถ้ากิจการงานใด ตกอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะดังกล่าวนี้แล้ว กิจการนั้นมันจะมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือ ความเสื่อมโทรมล่มจมในกิจการนั้นอย่างไม่มีปัญหา

ลองเฟลโลว์ นักจินตกวี คนสำคัญ ของอเมริกาได้ให้คติไว้อย่างน่าฟังว่า

There's A Brave fellow !
There's A man of Pluck !
A man who's Not Afraid to say His Say.
Though A whole town's Againts Him.

แปลเป็นไทยมีใจความว่า

"นั่นคือความแกล้วกล้า ! นั่นคือ ความเด็ดเดี่ยวที่ไม่หวาดหวั่นที่จะพูดในคำที่เขาจะพูด ถึงแม้ว่าคนทั้งเมืองจะกดขี่เขาอยู่ก็ตาม"

บุคลิกลักษณะของเฮนรี่ฟอร์ดก็ถือย่างอุดมการณ์นักจินตกวีลองเฟลโลว์ นั่นเอง

แม้ว่าจะถูกยื่นคำขาดให้ออกจากร้านบ้าง และบางคนก็ส่ายพระพักตร์ปฏิเสธ "No K" บางคนก็บริภาษออกมาชนิดฟังแล้วขนหัวลุก แต่เฮนรี่ฟอร์ดก็ยังก้มหน้าตามหางานทำต่อไป เขาเชื่อว่า "ไม่มีอะไรในโลกนี้จะหนีความพยายามของมนุษย์ไปได้" เขาฝังเอาสุภาษิตบทหนึ่งไว้ในใจของเขา สุภาษิตบทนั้นมีใจความว่า "เมื่อมีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่ไหน ความสำเร็จย่อมจะเกิดที่นั่น" ดังนั้นเขาจึงไม่พยายามเก็บเอาเรื่องเหล่านั้นมาคิด เขาถือเสียว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ปราถนาจะก้าวหน้าจะต้องได้เผชิญและถ้าใครถอยหลังกับเหตุการณ์ในทำนองนี้ก็กล่าวได้ทีเดียวว่า "เขาคือบุคคลที่อ่อนแอ"

โลกที่ยังมหวัง จงต่อสู้มันไปเถิด แล้วโลกนี้จะเป็นของเรา

ก็ทำนองเดียวกันเฮนรี่ฟอร์ดไม่ใช่เป็นคนสิ้นหวัง ไม่เคยเกรงกลัวกับอุปสรรค เฮนรี่ฟอร์ดนับตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยกล่าวว่า "โลกนี้ไม่มีหวัง, โลกนี้เต็มไปด้วยความทรมานและทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของฉันหมดสิ้นแล้ว"

แต่เฮนรี่ฟอร์ดกลับกล่าวว่า

"จงทำมันไปเถิด"

ครั้นแล้ว เฮนรี่ฟอร์ดก็บรรลุความสัมฤทธิภาพที่ได้มีความตั้งใจไว้ เขาได้ทำงานในที่แห่งหนึ่ง แม้จะเป็นงานหนักรายได้น้อยเขาก็มิได้ท้อถอย เขาถือเสียว่า "เป็นปฐมฤกษ์เบิกทางชีวิตให้รุ่งโรจน์" แม้ว่าจะทำงานอย่างเคร่งเครียด เกือบจะหาเวลาพักผ่อนหย่อนใจมิได้ เฮนรี่ฟอร์ดไม่เคยปริปากบ่นถึงความลำบากเลย เพราะเขาถือคติว่า "บุคคลที่บ่นกระปิดกระปอดคือบุคคลที่อ่อนแอ ปราศจากความอดทน" และบุคคลเช่นนี้ เฮนรี่ฟอร์ดกล่าวประณามว่า "เป็นบุคคลรกโลก"

ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า "อัจฉริภาพของเฮนรี่ฟอร์ดนั้นมีความใฝ่ฝันและความทะเยอทะยานในการจะเป็นนายช่าง" ความใฝ่ฝันทะเยอทะยานอันนี้ มันยังมิได้เหือดหายสลายตัวไปจากจินตนารมณ์อุดมคติของเขา มันยังกรุ่นครุ่นอยู่ในจินตนาการ หลังจากเลิกทำการงานแล้ว เขายังคงขลุกขลุ่ยอยู่กับเรื่องจักรกลเช่นเดิม ในห้องของเขาเต็มไปด้วยนาฬิกาที่ถูกถอดออกวางอยู่เรียงรายเกลื่อนกราด เขาถอดมันออกแล้วประกอบมันเข้าอย่างสนุกสนาน จากการกระทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ ของเขาเช่นนี้ จึงทำให้เฮนรี่ฟอร์ดเป็นช่างแก้นาฬิกาที่มีความสามารถคนหนึ่ง

อิเมอร์สัน ( Emerson ) นักจิตวิทยาคนสำคัญของโลก ได้กล่าวสรรเสริญเยินยอบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรไว้ว่า

"โลกนี้เป็นสมบัติของบุคคลที่มีความอุตสาหะ"

เป็นสัจจสูตรที่ไม่มีใครจะโต้เถียงได้ทีเดียว เฮนรี่ฟอร์ดเป็นคนขยันขันแข็ง ทรหดอดทน แม้ว่างานที่เฮนรี่ฟอร์ดได้ทำอยู่ จะมีความเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบจะขาดก็ตาม แต่เพื่อประสงค์จะรู้เล่ห์เหลี่ยมการค้า และต้องการหารายได้เพิ่มขึ้นจากรายได้ที่มีอยู่แล้ว พอตกตอนกลางคืน เขาไปทำการรับจ้างขายเพชร แต่ก็เปล่าหร๊ิอก ความปราถนาต้องการของเขาไม่มีที่สิ้นสุดอวสาน เขาต้องการทำงานที่ดีไปกว่านั้นอีก ดังนั้น เขาจึงพยายามหางานทำอยู่หลายอาทิตย์ ที่สุดเขาก็ได้งานใหม่จากโรงงานแห่งหนึ่ง ค่าจ้างที่ได้รับจ้างโรงงานใหม่แห่งนั้น เป็นค่าจ้งที่สูงกว่ารายได้ทั้งสองแห่งที่ได้ทำงานมาแล้ว และสิ่งที่เขาพอใจมากที่สุดก็คือ ตอนเย็น ๆ เขามีเวลาว่างพอที่จะกระทำในสิ่งที่เขาต้องการ เขามีความกระหายในการศึกษาด้วยตัวเองอย่างแรงกล้าเพราะการศึกษาด้วยตัวเอง เป็นการศึกษาที่แท้จริงของมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นเขามีความใฝ่ฝันเสียเหลือเกินที่จะตั้งโรงงานทำนาฬิกาเพราะเขาเชื่อตัวเองว่า "เขามีคามสามารถที่จะทำมันได้"

ไม่เพียงแต่เครื่องจักรนาฬิกาเท่านั้น เขามีความสามารถส่วนเครื่องจักรกลประเภทอื่่น ๆ เขาก้มีความรู้และความสามารถไม่แพ้เครื่องนาฬิกา ในโรงงานที่เขาทำอยู่ เขาเป็นคนงานคนเดียวเท่านั้น ที่ได้รับยกย่องว่า "เป็นผู้มีความสามารถจัดเจนในเครื่องจักรกล" ถ้าบังเอิญว่าในโรงงานแห่งนั้น หรือบรรดาโรงงานใกล้เคียง ถ้าเกิดมีเครื่องจักรในโรงงานหยุดทำการ หรือเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น เขาคนเดียวเท่านั้นจะได้รับเกียติให้เป็นผู้แก้ไขในเรื่องนี้แทบทุกครั้ง เขาก็สามารถทำความสำเร็จได้เป็นอย่างดีเสียด้วย

ท่ามกลางแห่งความใฝ่ฝัน และความปราถนาทะเยอทะยานที่จะได้เป็นเจ้าของโรงงานนาฬิกา เขาก็ได้รับข่าวอันแสนเศร้าสลดรันทดใจสอดแทรกเข้ามา ข่าวเศร้าสลดดังกล่าวนี้ก็คือ พี่ชายของเขาเกิดป่วยหนัก และพี่ชายของเขาในเวลานั้นก็ยังอาศัยอยู่ในชนบทบ้านเดิม พอได้ข่าวว่าพี่ชายป่วยหนัก เขามิได้ปล่อยเวลาให้ลุล่วงไปเลยเขาได้ยื่นใบลาออกจากเจ้าของโรงงานนั้นทันทีทันใด ขณะที่เขากำลังทำการรักษาพยาบาลพี่ชายของเขาอยู่ด้วยความเป็นห่วงนั้น เขาก็เจอยอดคู่ชีวิตในชนบทแห่งนี้ หลังจากได้สังสรรค์สัมพันธ์สวาทไม่นานนัก ทั้งสองก็ตกลงปลงใจแต่งงานกัน สองผัวเมียคู่นี้ก็เป็นบุคคลที่มีทรรศนะใฝ่ฝันในรสนิยมเช่นเดียวกัน ต่างก็มีปราถนาทะเยอทะยานจะเป็นเจ้าของโรงงาน ต้องการเป็นนักคิด ต้องการเป็นนายช่างด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทำให้เฮนรี่ฟอร์ดภูมิใจมาก เพราะภรรยาของเขาคอยกระตุ้นเตือนให้เขามีความเข้มแข็งอยู่เสมอ และมาตอนเย็นวันหนึ่งเมื่อเฮนรี่ฟอร์ดได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงข่าวว่า "มีนักประดิษฐ์กรรมซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง เขาสามารถสร้างรถที่ไม่ต้องเทียมด้วยม้าสำเร็จ" ข่างนี้ทำให้เฮนรี่ฟอร์ดตื่นเต้นมาก ทำให้มโนภาพ,สมาธิ และความทะเยอทะยานกลับรุ่งโรจน์ขึ้นมาอีก ความปราถนาใฝ่ฝันที่แน่นิ่งไปแล้วกลับคุขึ้นมาอีก ถ้านักประดิษฐ์กรรมชาวฝรั่งเศสมีความอดทนประดิษฐ์ขึ้นมาได้เช่นนั้น ก็ทำไมเล่าคนอย่างเขาจะประดิษฐืขึ้นบ้างไม่ได้หรือ? ถ้าเช่นนั้น ก็หมายความว่า "ฉันได้กลายเป็นคนอ่อนแอเสียแล้วกระนั้นหรือ"

เขาเหวี่ยงหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นออกไปทันที แล้วเขาก็ปรารกกับตัวเองว่า

"ต่อไปนี้ ฉันจะทำงานการค้นคว้าไปไม่หยุดยั้ง ฉันเลิกคิดและเลิกวิตกแล้วว่า มันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จจะมีมนุษย์ตนใดรู้อนาคตของตัวเองบ้างว่า จะมีชีวิตและความเป็นไปในอนาคตนั้นอย่างไร? จะมีความสำเร็จหรือไม่ ก็ช่างมันเถิด แต่ฉนจะทำอย่างไม่ยอมหยุดต่อไปอีกแล้ว"

ชีวิตตอนนี้ของเฮนรี่ฟอร์ด เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความจริงจังต่ออุดมคติของเขา เขาเริ่มทำการทดลองค้นคว้าพร้อมด้วยภรรยายอดรักอย่างหนักหน่วง ผลแห่งการค้นคว้านั้น มันไม่มีแสงสว่างทางแห่งความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นมาเลย ครั้งแล้วครั้งเล่า มันก็มีความผิดหวังพลั้งพลาดอยู่เสมอ แต่เฮนรี่ฟอร์ดเป็นคนอดทน เข้มแข็งต่อความปราถนาและอุดมคติที่เขามีอยู่ แม้ว่าภรรยาที่รักจะได้พยายามวิงวอนร้องขอให้เลิกความตั้งใจในการสร้างรถยนต์เสีย แต่เฮนรี่ฟอร์ดไม่ยอมฟังเสียง เขาคงก้มหน้าก้มตาทำการทดลองต่อไป โดยยึดคติว่า "มีความต้องการที่ไหนก็ย่อมมีความสำเร็จที่นั่น"

เขาตอบกลับภรรยาด้วยเสียงดังว่า

"ฉันจะค้นคว้าต่อไป ฉันจะทดลองต่อไป ฉันจะทำต่อไป ฉันได้ให้สัญญากับตัวฉันแล้วว่า ฉันจะหยุดการค้นคว้าก็เพราะฉันหมดลมหายใจเท่านั้น"

ตลอดเวลา 3 ปีเต็ม ๆ ที่เฮนรี่ฟอร์ดคิดค้นและทำการทดลองแต่แล้วในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปดุจดังภาษิตที่กล่าวมาแล้ว มันจะมีอะไรในโลกนี้บ้างเล่าจะไม่สำเร็จ จงทำมันไปเถิด ทำมันให้ถึงที่สุดมันจะสำเร็จหรือไม่อย่าไปคิดอย่าไปวิตกเพราะอนาคตย่อมมีทั้งผิดหวังและสมหวัง

วันนั้นอันเป็นวันสำคัญของเฮนรี่ฟอร์ด

ท่ามกลางพระพิรุณโปรยปราย เฮนรี่ฟอร์ดกับภรรยายอดรักก็นำรถยนต์คันหนึ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นได้ด้วยความอุตสาหะพากเพียรออกมาทำการทดลองเดินเครื่องดู เฮนรี่ฟอร์ดกระโดดขึ้นนั่งด้วยความกระปี้กระเปร่า ในดวงตาของเขาฉาบฉายไปด้วยความยินดีปรีดาภรรยาของเขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจว่า "คราวนี้คงจะไม่ผิดหวังแน่" เพราะได้วิจัย-วิจารณ์ หรือได้พบประสบการณ์มามากมายหลายครั้งแล้วและได้ พยายามแก้ไข ข้อบกพร่องอย่างสุดความสามารถเลยทีเดียว สองสามีภรรยาจึงมีความเชื่อมั่นอย่างเหลือเกินในความสำเร็จแห่งการทดลองครั้งนี้

ครั้นแล้วเฮนรี่ฟอร์ดก็บังคับเครื่องให้เดิน แต่แล้วเสียงก็ดังสนั่นหวั่นไหวบังเกิดขึ้น รถของเขาออกเดินไปช้า ๆ พร้อมด้วยควันพลุ่งโพลง เฮนรี่ฟอร์ดกระโดดลงจากรถโดยทันที แล้วเขาก็โผเข้ากอดภรรยาของเขาไว้แน่น เขาจูบภรรยาด้วยความปลาบปลื้มใจ แล้วเขาอุทานด้วยเสียงอันครวญเครือว่า

"ที่รัก ! พระเจ้าทรงประทานความสำเร็จให้แก่เราแล้ว"

จอช บิลลิงส์ ( John Billings ) ได้กล่าวสรรเสริญเยินยอบุคคลที่ทำงานสำเร็จว่า

Everyone Does The Best He An,isa Hero

"ทุก ๆ คนซึ่งทำงานที่เขาสามารถทำได้อย่างดีที่สุด ก็นับว่าเป็นวีรบุรุษ"

แต่แล้วเฮนรี่ฟอร์ดผู้ไม่ยอมปราชัยพ่ายแพ้แก่อุปสรรค และจะขอต่อสู่มันไปชนิดยอมตายถวายชีวิต ก็นำรถยนต์คันแรกของเขาออกมาวิ่งบนถนนดีทรอยต์ ท่ามกลางฝูงชนล้นหลามที่ยืนจ้องมองอยู่ด้วยความพิศวง เพราะเขาเหล่านั้นไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาแต่ก่อน

ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของเฮนรี่ฟอร์ดขจรขจายไปอย่างกว้างขวาง เสียงโจษจรรย์อย่างเอิกเกริกเกียรติน้เอง ทำให้ประชาชนมาดูรถยนต์ของเขาอย่างล้นหลามไปทีเดียว

ด้วยความใฝ่ฝันที่จะสร้างรถยนต์คันที่สองต่อไปอีก เขาจึงขายรถยนต์คันแรกไปในราคา 200 เหรียญ แล้วก็สถาปนาบริษัทฟอร์ดขึ้นในปี ค ศ. 1883 ในร้านช่างไม่แห่งหนึ่งในเมืองดีทรอยต์

หลังจากสถาปนาบริษัทฟอร์ดขึ้นแล้ว เขาก็เริ่มก้มหน้าก้มตาทำการผลิตมันอย่างเคร่งเครียด เขาหมกมุ่นอยู่กับงานอย่างชนิดลืมกินลืมนอน ภรรยาของเขาก็มีพฤติกรรมเช่นเดียวกัน ในปีนั้นเขาขายรถยนต์ได้ถึง 1,708 คันแล้วต่อมาในปีที่ 2 เขาลดราคารถยนต์ของเขาลงอีก เพื่อให้กรรมกรและคนจน ๆ สามารถซื้อได้ในราคาถูก คราวนี้เขาขายเพิ่มจำนวนขึ้นถึง 8,433 คัน จากนั้นเขาก็สาดเข้าสู่ตลาดโลกอย่างขนานใหญ่ เขามีสาขาอยู่ทั่วโลก เกือบไม่มีประเทศใดเลยที่มิได้ใช้รถยนต์ฟอร์ดที่บริษัทของเขาผลิตมันขึ้น

เดี๋ยวนี้เฮนรี่ฟอร์ดไม่ใช่เฮนรี่ฟอร์ดที่ยากไร้เสียแล้ว แล้วเขากลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมาในทันทีทันใด ด้วยอุดมคติที่ว่า

"อย่าไปคิดว่ามันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จเลย จงทำมันไปเรื่อง ๆ เถิด"

ท่านผู้อ่านที่เคารพความสำเร็จของเฮนรี่ฟอร์ดนั้นมิใช่มาจากพระเจ้า หรือมาจากพรหมลิขิต หรือมาจากผีห่าซาตานตนใด แต่มันได้มาจากการต่อสู้ของเขาได้มาจากความทะเยอทะยานของเขา ได้มาจากความอดทนของเขา ได้มาจากความพากเพียรของเขาทั้งสิ้นปราชญ์โอวิคกล่าวว่า

Forture And Love The Brave
"โชคและความรัก ย่อมสนองแก่คนกล้า"

นิเช่ ปรัชญาเมธีเยอรมัน มักพร่ำเตือนเพื่อนชาวโลกอยู่เสมอว่า "โลกนี้เป็นของคนเข้มแข็ง โลกนี้เป็นของคนอดทน โลกนี้เป็นของคนอุตสาหะ โลกนี้เป็นของคนกล้าหาญ" ดังนั้น บุคคลที่อ่อนแอ ชาติที่อ่อนแอ บริษัทที่อ่อนแอ และนักต่อสู้ที่อ่อนแอ รางวัลที่เขาได้รับก็คือ ความปราชัยพ่ายแพ้อย่างยับเยินที่สุดในชีิวิต

ท่านเล่ามีความเข้มแข็งหรือเปล่า ?
ท่านเล่ามีความอดทนหรือเปล่า ?
ท่านเล่ามีความพากเพียรหรือเปล่า ?
ท่านเป็นคนกล้าหาญหรือเปล่า ?

ชีวิตของมหาเศรษฐีเฮนรี่ฟอร์ด ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวเล่ามาตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ มันมีอะไรบ้างไหม ? ที่ท่านจะนำมาปรับปรุงแก้ไขตัวเอง เพื่อเป็นการถากถางสร้างโชคชะตาชีวิจของท่านให้รุ่งโรจน์ ขอให้ท่านจงนึกไว้เสมอว่า "ไม่มีพระเจ้าหรือผีห่าตนใด จะมามีอิทธิพลดลบันดาลให้ท่านดีขึ้นหรือเลวลง เพราะท่านจะดีขึ้นหรือเลวลง ก็เพราะตัวท่านนั่นแหละ" เมื่อความจริงเป็นดังนั้น ท่านก็ควรปรับปรุงตัวเอง สร้างประสิทธิภาพให้แก่ตัวเอง สิ่งที่ควรจะสร้างสรรค์นั้นก็คือจงฝึกใจของท่านให้เป็นคนทะเยอทะยาน จงรักการอ่านให้มาก ๆ เพราะการอ่านจะทำให้ท่านมีหูตากว้างขวาง มีไอเดียใหม่ ๆ และแปลก ๆ จะทำอะไรต้องมีความเชื่อมั่นตัวเอง อย่าวิตกกับเหตุการณ์ในอนาคต จงตัดสินและตกลงอย่าลังเล จะทำอะไรต้องมีแผน จงฝึกหัดให้มีสมาธิ จงพยายามสร้างมโนภาพเสมอ ๆ ข้อสำคัญก็คือ ต้องมีกำลังใจเข้มแข็งอยู่ชั่วนิรันดร

ถ้าท่านมีบุคลิกลักษณะดังกล่าวนี้แล้ว จะไปกลัวอะไรกันเล่ากับการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้